วันพระไม่ประมาท
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันพระ...วันพระเป็นวันทำบุญกุศลไง เพื่อเป็นความไม่ประมาท ความไม่ประมาท เราประมาท ถ้าเราประมาทในชีวิต เห็นไหม เราว่าในชีวิตเรานี้ ถ้ามันไปมองดูห่วงโซ่ของตัวแมลงนะ ตัวแมลงพวกสัตว์ที่มันเกิด เห็นไหม ๗ วัน...๗ วัน...ไม่ใช่ ๗ วันนะ อย่างแค่เกิดมา แมลงนี่ไม่ถึงวันมันก็ต้องเป็นเหยื่อของสัตว์แล้ว แล้วพอเป็นเหยื่อของสัตว์ คิดถึงเวลามันโดนสัตว์ที่มันขบเคี้ยว มันกินเข้าไปสิ มันต้องตายไป เห็นไหม ชีวิตเกิดมาเป็นห่วงโซ่ของอาหาร
ในสถานะของมนุษย์ก็เหมือนกัน เราเกิดมานี่มันสถานะของมนุษย์ มันเป็นมนุษย์มันมีอายุความยืนยาว การเกิดการตายมันย้อนกลับไปตรงนั้น ถ้าไปมองตรงนั้นมันสะเทือนใจไง พอมันสะเทือนใจ มันจะเห็นคุณค่าของความเป็นคนมหาศาลเลย
นี่ธรรม ธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมเป็นอย่างนั้นหมายถึงว่า ธรรมถ้ามีหัวใจแล้วมันมองอะไรมันกระทบกระเทือน มันเห็นสิ่งใดแล้วมันพยายามยกขึ้นมาเป็นความสลดใจไง เป็นปัญญา คือว่าเป็นปัญญาขึ้นมา ยกขึ้นมาให้มันสะเทือนหัวใจ พอมันสะเทือนหัวใจ มันมีคุณค่าของใจ
ไอ้นี้เราไม่สะเทือนหัวใจ เรามองแต่ข้างนอกกันอยู่ พอมองข้างนอกกันอยู่ มันก็เคลิบเคลิ้มไป นี่ประมาทในชีวิต ความประมาทไป เห็นไหม วันนี้วันฟังธรรม คือวันกระตุกหัวใจให้กลับมา วันนี้วันพระไง วันพระ วันทำบุญกุศลเพื่อจะให้เรานี่ทำบุญกุศล เราทางโลกว่าทำงานนะ ทำงานข้างนอกจะได้เป็นคุณงามความดี...มันเป็นงานเปลือกๆ ไง
อย่างมรรค เห็นไหม สัมมาอาชีวะ การหาเลี้ยงชีวิตชอบ ถูกต้อง...เราไม่ทำเบียดเบียนเขา ทางนี้ คนเขาว่าทำแค่นี้ เราเป็นชาวพุทธมันก็มีคุณประโยชน์พอแล้ว เพราะเราทำคุณงามความดี เราไม่ทำความผิดอะไร เราเป็นชาวพุทธ หลวงปู่ฝั้นบอกเลย งานภายในนะ ให้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ นี่นั่งเฉยๆ ทำกันไม่ได้
นั่งเฉยๆ ไง นั่งเฉยๆ มันเป็นการกลับเข้าไปทำงานภายใน หมายถึงว่าบังคับใจให้มันสงบเข้าไป ความสุขอย่างความสงบไม่มี ความสุขต่างๆ ที่เราแสวงหากันนึกว่าจะเป็นความสุข มันก็ยิ่งเท่าไหร่นะ มันมีการขับเคลื่อน มีพลังงานที่จะต้องรับรู้ต้องอะไรไป พลังงานมันแสดงออกไป มันต้องมีการเผาผลาญ มันจะสงบได้อย่างไร?
แต่สมาธิธรรมมันเฉยมันสงบนิ่งอยู่ มันไม่เผาผลาญตัวมันเอง ยิ่งสงบเข้าไปสงบเข้าไป จนเข้าถึงนิโรธสมาบัติ เงียบไปหมดเลยนะ เงียบไปหมดเลย ความสุขอย่างยิ่งอยู่ตรงนั้น นี่ความสุขอย่างยิ่งนะ นิโรธสมาบัติ
แต่ในการชำระกิเลสมันสงบด้วย แล้วมันทำลายกิเลสออกไปจากใจ สงบแล้วความสงบนั้น อย่างที่ว่านี่ มันเวิ้งว้างเข้ามา ทำลายในภายในของเราขึ้นมาอีก มันยิ่งสงบเข้าไปอีก แล้วสะอาดเข้าไปอีก นี่งานภายใน
ถึงว่าชีวิตมีคุณค่าตรงนี้ไง ชีวิตมีคุณค่าตรงที่ทำความสงบได้ งานภายในเป็นงานของแต่ละบุคคลที่จะข้ามพ้นไป นี่ฟังธรรมๆ ตรงนั้น แต่ถ้ามองอยู่ข้างนอกนี้ มันมองอยู่ข้างนอกแล้วมันจะว่าอันนี้เป็นการเป็นงานแล้วมันติดอันนี้ พอติดอันนี้แล้วมันก็ไป นี่ประมาท ประมาทหมายถึงว่ามันไม่เห็นหลักการไง หลักการคือชีวิตของเราที่ว่ามีคุณประโยชน์อยู่ แต่ไปมองตรงนั้นปั๊บ มันมองแล้วมันส่งออก มันดึงออกไป ดึงความเห็นของเราออกไป
ย้อนกลับมาชีวิตสัตว์เลย ห่วงโซ่ของชีวิต เราดูอย่างนั้นนะ มันจะเห็นมีคุณค่าขึ้นมา จิตใจมันจะฮึกเหิม จิตใจจะมีสติสตังขึ้นมาเลย โอ้โฮ...ชีวิตเรานี่ยาวนะ ชีวิตเรานี่มหาศาล ชีวิตเรานี่ดีกว่าคนนั้นมากเลย แล้วก็พยายามวนเข้ามาๆ วนเข้ามา งานภายในไง นี่เตือนสติขึ้นมา เตือนสติขึ้นมา นี่ปัญญามันเกิด ถ้าปัญญามันเกิดมันดัดตนเองขึ้นมามันตลอด มันบังคับตนเอง มันดัดตนเอง ตนเองจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ นี่ธรรมเป็นแบบนั้น
ธรรมคือทำให้ใจของคนพ้นจากความเศร้าหมอง หนึ่ง เห็นไหม ทำความสงบ...นี่ความเศร้าหมอง ความหมองใจมีความสงบ อันนี้อันหนึ่ง แล้วยังยกขึ้นวิปัสสนาจน...ความเศร้าหมองนี่มันเกิดจากอะไร? เกิดจากอวิชชาที่มันอยู่ในหัวใจนะ มันแปรปรวนตลอด
สิ่งที่หลุดออกไปมันเป็นพลังงานสะอาด พลังงานสะอาดหมายถึงว่ามันเป็นพลังงานที่ไม่มีสิ่งใดมาทำให้เศร้าหมองได้ เห็นไหม พลังงานธรรมดา พลังงานทุกอย่างมันต้องมีเผาไหม้ มันต้องมีของเสีย
นี่เหมือนกัน ถ้ามนุษย์ปุถุชนอยู่มันมีพลังงานนะ คิดอะไรแล้วแต่มันมีตกค้างมาให้ บุญกุศล เห็นไหม คิดดีบุญกุศลก็ตกค้างเข้าไปที่ใจ คิดชั่วทำความผิดขึ้นมา บาปอกุศลนั้นก็ตกขึ้นที่ใจ นี่พลังงานตกค้างมันต้องมีทุกอย่างเลย เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจที่ไม่มีพลังงานตกค้างใดๆ ทั้งสิ้น
นั่นน่ะพลังงานอันนั้นพลังงานสะอาด แล้วพ้นจากแรงดึงดูดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นพลังงานส่วนตัว ส่วนตัวของตัวอันนั้นมีพลังงานอันนั้นไม่เวียนไปตามแรงดึงดูดของวัฏวนต่างๆ ไม่มีแรงดึงดูด เหมือนกับเราพ้นออกไปแล้วมีความสุข มันเข้าใจทั้งหมด
เพราะสรรพสิ่งเกิดจากตรงนี้ไง สรรพสิ่งเกิดจากสิ่งที่ว่าพลังงานเริ่มแรก พลังงานเริ่มแรกนี้มันสกปรก มันก็ยึดเกาะเกี่ยวกันไปตลอด นี้สรรพสิ่งเกิดจากพลังงานที่สะอาดขึ้นมา เห็นไหม มันเข้าใจ มันสลดสังเวชเข้ามาตลอด
ธรรมมองอะไรถึงสลดสังเวช สลดสังเวชนะ เป็นธรรมสังเวช เห็นไหม มันถึงไม่ประมาทไง มีธรรมสังเวช มันสะเทือนใจตลอดเวลา พอสะเทือนใจตลอดเวลามันตั้งมั่น พอตั้งมั่น เห็นไหม เพราะสะเทือนใจแล้วมันไม่ไปคลุกคลี เพราะคลุกคลีมันเห็นโทษของการประมาท การที่คิดเวียนไปในโลก กับเห็นคุณของการตั้งสงบอยู่ พอตั้งสงบอยู่ เห็นโทษเห็นคุณขึ้นมาแล้วใจมันจะไปจับได้อย่างไร?
เราไม่เห็นคุณนี่ เราคิดว่าอันนู้นเป็นคุณ อันที่ว่าเราคิดอยู่เป็นคุณ แต่เราไม่เห็นความสงบอยู่ก็การที่ว่าดัดใจ การนั่งเฉยๆ งานภายใน งานบังคับตนนี้เป็นงานอันประเสริฐ เราไม่เห็นตรงนี้ เราก็ถึงว่ามันถึงไหลออกไปทางนู้น ไหลออกไปตามโลก
แต่พอเห็นอันนี้ปั๊บ อันนั้นก็ทำ เพราะคนเกิดมามีชีวิตต้องทำ ทำเป็นปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แต่พอทำแล้วมันสะเทือนใจขึ้นมา มันสะเทือนใจหมายถึงว่าอันนี้เหนื่อย เหนื่อยร่างกายเหนื่อยจิตใจ กลับไปทำข้างใน
บังคับจิตใจ เห็นไหม บังคับยิ่งมากเท่าไหร่ ถ้ามันหยุดได้ ความหยุดได้อันนั้นจะเห็นคุณประโยชน์ขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นจากความเชื่อ จากฟังธรรม จากเชื่อครูบาอาจารย์อย่างหนึ่ง แล้วเราเข้าไปประสบสัมผัสเองอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม นี่ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน
ศาสนาถึงว่าถ้ารู้จริงเห็นจริงตามเข้าไป มันถึงยิ่งเชื่อมั่นในหลักของศาสนา ยิ่งเคารพคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตา มหากรุณิโก นาโถ เห็นไหม เป็นผู้ที่เมตตามหากรุณาธิคุณวางไว้เพื่อจะให้สัตว์โลกพ้นออกไป
มันเหนือโลก มันเหนือสงสาร เหนือจนพวกเรามองไม่เห็น มันลึกซึ้งจนแบบว่าเราเห็นว่าถ้าไม่มีใจตั้งมั่น ไม่มีความเห็นอันนี้ มันเหมือนกับความประมาทไง มันมองข้ามไป นี่ลึกขนาดนั้น ธรรมะนี่ลึกมาก กว้างมากจนจับต้องไม่ได้
วันนี้วันพระ พอวันพระเราฟังธรรม เราทำบุญกุศล เราได้... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)